แนะ 5 วิธีการติดตั้งไฟสระว่ายน้ำ by ช่างสระว่ายน้ำผู้เชี่ยวชาญ

ไฟสระว่ายน้ำ เป็รอีกหนึ่งอุปกรณ์ที่จำเป็นต้องมีในการสร้างสระว่ายน้ำ เพราะนอกจากจะช่วยเพิ่มความสวยงามและสร้างบรรยากาศที่ดีได้แล้ว ยังทำให้มองเห็นสระว่ายน้ำในเวลากลางคืนอีกด้วย ช่วยเพิ่มความปลอดภัย ลดความเสี่ยงของอุบัติเหตุระหว่างการใช้งานได้อย่างดี
ไฟสระว่ายน้ำ คืออะไร?
ไฟสระว่ายน้ำ คือ อุปกรณ์ส่องสว่างที่ติดตั้งในสระว่ายน้ำ ทั้งการติดตั้งบริเวณใต้สระ และบริเวณริมสระ โดยมีจุดประสงค์เพื่อเพิ่มความสว่าง สร้างความปลอดภัย และความสวยงามให้กับสระว่ายน้ำ
ชนิดของหลอดไฟสระว่ายน้ำ
ไฟสระว่ายน้ำมีทั้งหมด 3 ชนิด ประกอบด้วย
1. ไฟสระว่ายน้ำ LED
หลอดไฟสระว่ายน้ำ LED เป็นประเภทที่ได้รับความนิยมมากที่สุดในปัจจุบัน มีข้อดีที่ประหยัดไฟ ใช้พลังงานน้อย และมีอายุการใช้งานยาวนาน โดยสามารถใช้งานได้นานถึง 20,000–50,000 ชั่วโมง ทั้งยังเลือกแบบของแสงได้ ทั้งแสงสีขาว, Warm White และแบบ RGB เปลี่ยนสีได้ ที่สำคัญ ยังไม่สะสมความร้อนมาก สร้างความปลอดภัยให้ผู้ใช้งาน
2. ไฟสระว่ายน้ำ ฮาโลเจน
สำหรับหลอดไฟสระว่ายน้ำแบบฮาโลเจน ปัจจุบันไม่นิยมใช้แล้ว เนื่องจากกินไฟมาก และร้อนง่าย ทั้งยังมีอายุการใช้งานไม่นาน เพียง 2,000–5,000 ชั่วโมง แต่มีแสงสว่างมาก และให้ความคมชัด ทั้งยังมีราคาถูกที่สุดในบรรดาไฟทุกชนิดอีกด้วย
3. ไฟสระว่ายน้ำ RGB
ส่วนไฟสระว่ายน้ำแบบ RGB มีออปชันการใช้งานหลากหลาย เช่น ระบบเปลี่ยนสีอัตโนมัติ, ระบบควบคุมการใช้งานผ่านรีโมต มือถือ หรือเชื่อมกับ Smart Home ก็ได้ด้วยเช่นกัน นิยมใช้ในสระว่ายน้ำโรงแรมและพูลวิลล่า เพื่อสร้างบรรยากาศและภาพลักษณ์หรูหราให้กับสถานที่นั้น ๆ
ข้อคำนึงในการเลือกไฟสระว่ายน้ำ
การเลือกไฟสระว่ายน้ำต้องคำนึงถึงหลายปัจจัย เพื่อให้ได้ไฟสระน้ำที่เหมาะสมกับการใช้งานมากที่สุด
1. รูปแบบสระว่ายน้ำ
สระว่ายน้ำมีหลากหลายรูปแบบ ซึ่งแต่ละแบบจะมีการเลือกใช้ไฟสระว่ายน้ำแตกต่างกัน หากเป็นสระว่ายน้ำทรงสี่เหลี่ยม หรือสระว่ายน้ำทรงโค้งเว้า จะนิยมใช้ไฟสระว่ายน้ำแบบ LED หรือ RGB ในการติดตั้ง ส่วนสระว่ายน้ำเด็กหรือสระตื้น จะใช้ไฟ LED แบบ Warm White เพื่อป้องกันไม่ให้เด็กแสบตา ส่วนสระว่ายน้ำในร่ม หรือแบบ Indoor จะมีการติดตั้งไฟบริเวณใต้น้ำและฝ้าเพดาน เพื่อเพิ่มแสงสว่างและความปลอดภัยให้กับผู้ใช้งาน
2. ขนาดสระว่ายน้ำ
การเลือกไฟสระว่ายน้ำให้สอดคล้องกับขนาดสระว่ายน้ำ จะช่วยลดจุดบอดภายในสระ ทำให้แสงส่องสว่างอย่างทั่วถึง ช่วยเสริมความปลอดภัยได้อย่างดี
- สระขนาดเล็ก (ขนาด 3×6 เมตร) เหมาะสำหรับไฟ LED หรือไฟ RGB ขนาด 6–12W
- สระขนาดกลาง (ขนาด 4×8 เมตร หรือ 5×10 เมตร) เหมาะสำหรับไฟ LED หรือไฟ RGB ขนาด 12–18W
- สระขนาดใหญ่ (ขนาด 6×12 เมตรขึ้นไป) เหมาะสำหรับไฟ LED หรือไฟ RGB ขนาด 18W ขึ้นไป
3. ความปลอดภัย
การเลือกไฟสระว่ายน้ำ ควรเลือกแบบที่มีมาตรฐานการกันน้ำ เพื่อป้องกันไม่ให้น้ำซึมไหลเข้าหลอดไฟจนเกิดการช็อตขึ้น เช่น มาตรฐานกันน้ำ IP68 ที่สามารถติดตั้งในน้ำลึกได้ ทั้งยังต้องเลือกแบบที่ทนต่อผลิตภัณฑ์สารเคมีในน้ำ มีระบบตัดไฟอัตโนมัติ มีระบบสายไฟ-กล่องควบคุมกันน้ำ และมีใบรับรองมาตรฐานความปลอดภัยในระดับสากล อาทิ CE, RoHS, UL
4. การรับประกัน
การรับประกันสินค้า ถือเป็นอีกปัจจัยที่ต้องคำนึงด้วยเช่นกัน เนื่องจากไฟสระว่ายน้ำเป็นอุปกรณ์ที่ต้องใช้งานหนัก ทนต่อความชื้น และแรงดันน้ำสูง หากเกิดปัญหาแล้วไม่มีการรับประกัน จะทำให้เสียค่าใช้จ่ายบานปลาย จึงต้องเลือกแบรนด์ที่มีการรับประกัน มีบริการหลังการขายที่ดี มีเอกสาร และ Serial Number ที่ชัดเจน เพื่อป้องกันปัญหาเวลาเคลมนั่นเอง
แนะนำ 5 วิธีการติดตั้งไฟสระว่ายน้ำ
สำหรับการติดตั้งไฟสระว่ายน้ำ สามารถทำตามวิธีการ 5 ขั้นตอน ได้ดังนี้
1. เตรียมระบบไฟฟ้า
ก่อนติดตั้งไฟสระว่ายน้ำจะต้องเตรียมระบบไฟฟ้าก่อน โดยวางแผนจำนวนไฟที่ต้องใช้ พร้อมวางตำแหน่งการติดตั้ง จากนั้นจึงติดตั้งหม้อแปลง (แยกจากระบบบ้าน) และระบบตัดไฟอัตโนมัติ เพื่อป้องกันไฟรั่วด้วย
2. เลือกตำแหน่งติดตั้งไฟสระน้ำ
สำหรับไฟใต้น้ำมักจะติดตั้งที่ระดับลึกราว ๆ 50–60 ซม. จากขอบสระ ส่วนบริเวณขอบสระ จะติดตั้งบนผนังด้านยาว และหันตัวเครื่องให้ส่องเฉียงข้ามสระ เพื่อป้องกันแสงส่องเข้าตาขณะว่ายน้ำ
3. การติดตั้งโคมไฟสระว่ายน้ำ
หากเป็นโคมไฟสระน้ำแบบฝังผนัง จะติดตั้งโดยฝังปลอก (niche) ไว้ในผนัง จากนั้นเมื่อเดินท่อร้อยสายไฟก็จะเชื่อมปลอกไฟกับกล่องต่อสาย และจะใส่โคมไฟเข้าในปลอก โดยจะปิดฝาหลังจากติดกระเบื้องเสร็จแล้ว ส่วนโคมไฟแบบลอย จะเจาะยึดโคมไฟไว้กับผนัง และใช้ซิลิโคนกันน้ำหรือแหวนยางป้องกันน้ำรั่วซึมเข้าโคม แล้วค่อยเดินสายไฟไปยังกล่องควบคุมนอกสระ
4. ต่อสายไฟเข้ากล่องควบคุม
หลังจากติดตั้งไฟสระว่ายน้ำเสร็จเรียบร้อยแล้ว ให้ต่อสายไฟเข้ากล่องควบคุม โดยเดินสายจากโคมไฟไปยังกล่องต่อสายกันน้ำ แล้วค่อยต่อเข้าสู่หม้อแปลงและสวิตช์ควบคุม ซึ่งตัวกล่องควรอยู่สูงกว่าระดับน้ำไม่น้อยกว่า 30 ซม.
5. ทดสอบระบบไฟสระว่ายน้ำ
หลังจากติดตั้งไฟสระว่ายน้ำเรียบร้อยแล้ว ก็มาถึงขั้นตอนทดสอบระบบไฟ โดยเปิดไฟดูว่าแต่ละดวงติดครบหรือไม่ จากนั้นทดสอบความสว่าง และโหมดเปลี่ยนแสง แล้วค่อยใช้เครื่องตรวจไฟรั่วเช็กความปลอดภัยก่อนปล่อยน้ำเข้าสระอีกที
ข้อควรระวังในการติดตั้งไฟสระว่ายน้ำ
- ห้ามใช้ไฟ 220V โดยตรงกับโคมใต้น้ำ เนื่องจากเป็นไฟฟ้าแรงสูง หากเกิดเหตุไฟรั่ว จะทำให้เป็นอันตรายถึงแก่ชีวิตได้
- อย่าต่อสายไฟลอย หรือเปิดไฟในบริเวณที่มีความเปียกชื้น เพราะเสี่ยงต่อการถูกไฟดูดเป็นอย่างมาก
- ควรตรวจสอบให้แน่ใจว่าอุปกรณ์ทุกชิ้นผ่านการรองรับมาตรฐาน IP68 ที่มีความปลอดภัยในระดับสากล
สำหรับการการติดตั้งไฟสระว่ายน้ำ จะต้องให้ช่างสระว่ายน้ำหรือผู้เชี่ยวชาญที่มีความรู้เฉพาะทางเป็นผู้ติดตั้ง ทั้งยังต้องใช้อุปกรณ์ที่มีมาตรฐาน และผ่านการรับรองความปลอดภัย เพื่อลดความเสี่ยงหากเกิดเหตุฉุกเฉินระหว่างการใช้งานและการติดตั้งนั่นเอง อย่างไรก็ตาม หากต้องการคำปรึกษาด้านสระว่ายน้ำเพิ่มเติม สามารถสอบถามทาง poolspt ได้ทุกวัน ตั้งแต่จันทร์-ศุกร์ เวลา 8:00-17:00 น.