ท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง มีอะไรบ้าง?

การว่ายน้ำเป็นหนึ่งในกีฬาที่ให้ประโยชน์กับร่างกายแทบทุกส่วน ไม่ว่าจะเป็นการเสริมสร้างกล้ามเนื้อ ความยืดหยุ่น ระบบการหายใจ ทั้งยังช่วยผ่อนคลายความเครียดทางจิตใจได้อย่างดี แต่การว่ายน้ำที่ดีนั้น จะต้องว่ายด้วยท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง เพื่อให้เกิดประโยชน์สูงสุด และลดความเสี่ยงต่างๆ ที่อาจเกิดขึ้นได้นั่นเอง

ท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง มีประโยชน์อย่างไร?

1. ลดความเสี่ยงของการบาดเจ็บ

การว่ายน้ำด้วยท่าว่ายน้ำที่ไม่ถูกต้องอาจทำให้เกิดแรงกระแทกที่ไม่จำเป็นต่อข้อต่อ เช่น หัวไหล่, ข้อเข่า หรือกล้ามเนื้อบางส่วน ทำให้เสี่ยงต่ออาการบาดเจ็บเรื้อรัง เช่น อาการปวดไหล่ของนักว่ายน้ำ แต่การว่ายน้ำด้วยท่าที่ถูกต้อง จะช่วยจัดระเบียบร่างกาย ทำให้กล้ามเนื้อออกแรงได้อย่างสมดุลและปลอดภัย

2. เพิ่มประสิทธิภาพในการเคลื่อนไหว

ท่าว่ายที่ถูกต้องจะช่วยลดแรงต้านทานจากน้ำได้ ทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้อย่างคล่องแคล่วมากขึ้น ทั้งยังว่ายน้ำได้นานขึ้น และใช้พลังงานน้อยลง เพราะลดการขยับในส่วนที่ไม่จำเป็นลงนั่นเอง

3. ได้ใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนตามที่ควรจะเป็น

ท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง จะช่วยให้คุณใช้กล้ามเนื้อทุกส่วนตามที่ควรจะเป็นสำหรับการว่ายท่านั้น ๆ ได้อย่างเต็มที่ ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ ระบบหัวใจ และหลอดเลือดให้ดีขึ้นนั่นเอง

4. พัฒนาทักษะการหายใจ

อีกหนึ่งประโยชน์ของการว่ายน้ำด้วยท่าว่ายน้ำที่ถูกต้องก็คือ ช่วยพัฒนาทักษะการหายใจระหว่างว่ายน้ำได้ เพราะจังหวะของท่าว่ายน้ำแต่ละท่าสัมพันธ์กับการหายใจด้วย ซึ่งจะช่วยให้คุณได้รับออกซิเจนอย่างเต็มที่ ไม่เหนื่อยง่าย และสามารถว่ายน้ำได้อย่างต่อเนื่อง

ท่ายว่ายน้ำ มีอะไรบ้าง?

1. ท่าฟรีสไตล์ (Freestyle)

ท่าฟรีสไตล์ หรือ ท่ากรรเชียงคว่ำหน้า เป็นท่าว่ายน้ำที่ได้รับความนิยมมากที่สุด ข้อดีคือช่วยเสริมกล้ามเนื้อแขน ไหล่ และหลัง ทั้งยังพัฒนาความทนทานของหัวใจและปอดได้อย่างดี เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการลดไขมัน นอกจากนี้ ยังเป็นท่าที่ฝึกได้ง่ายและว่ายได้เร็ว ทำให้พบเห็นได้บ่อย ๆ ในการแข่งขันว่ายน้ำ

วิธีว่ายท่าฟรีสไตล์ที่ถูกต้อง

  1. ร่างกาย : ตัวต้องเหยียดตรงขนานกับผิวน้ำ หัวอยู่ในแนวเดียวกับลำตัว
  2. การเคลื่อนไหวแขน : เหวี่ยงแขนสลับกันไปข้างหน้า ขณะดึงแขนลงต้องให้นิ้วชี้ตรงไปด้านหน้า มือปัดน้ำผ่านลำตัว
  3. การเตะขา : เตะขา 4 จังหวะ (หรือที่เรียกกันว่าท่าฟรีสไตล์ 4 จังหวะ) โดยเตะขาสั้น ๆ จากสะโพกอย่างสม่ำเสมอ อย่าเตะจากเข่า
  4. การหายใจ : หายใจเมื่อแขนข้างหนึ่งยกขึ้นจากน้ำ ให้หันหน้าไปด้านข้าง ไม่ควรเงยหน้าขึ้นตรง ๆ

2. ท่ากบ (Breaststroke)

ท่ากบ เป็นท่าว่ายน้ำที่มีลักษณะคล้ายกบว่ายน้ำ ข้อดีคือทำให้ผู้ว่ายสามารถลอยตัวในน้ำได้ง่าย ช่วยบริหารกล้ามเนื้อขาและสะโพก ช่วยฝึกการประสานงานระหว่างแขนขาและลมหายใจได้ ทั้งยังใช้พลังงานน้อย เหมาะสำหรับการออกกำลังกายเบา ๆ เป็นอย่างยิ่ง

วิธีว่ายท่ากบที่ถูกต้อง

  1. ร่างกาย : คว่ำหน้าในน้ำ ร่างกายอยู่ในแนวระนาบ
  2. การเคลื่อนไหวแขน : เหยียดแขนไปข้างหน้า จากนั้นดึงแขนออกด้านข้างเป็นครึ่งวงกลม แล้วกลับมาชิดอก
  3. การเตะขา : งอเข่า ดึงส้นเท้าเข้าหากัน แล้วเตะออกด้านนอกพร้อมเหยียดขาตรง
  4. การหายใจ : หายใจเข้าเมื่อยกหัวขึ้นจากน้ำ หลังจากนั้นให้ก้มหน้ากลับลงน้ำขณะเหยียดแขนออก

3. ท่ากรรเชียง (Backstroke)

ท่ากรรเชียง เป็นท่าว่ายน้ำที่คล้ายกับท่าฟรีสไตล์ แต่จะหงายตัวขึ้น ทำให้สามารถหายใจได้ตลอดเวลา ซึ่งจะช่วยเสริมสร้างกล้ามเนื้อหลังและไหล่ได้อย่างดี ลดอาการปวดหลังจากการนั่งนาน ๆ เหมาะกับผู้ที่ต้องการยืดกล้ามเนื้อหลัง

วิธีว่ายท่ากรรเชียงที่ถูกต้อง

  1. ร่างกาย : หงายตัวให้ลอยอยู่บนผิวน้ำ ศีรษะอยู่ในแนวเดียวกับลำตัว
  2. การเคลื่อนไหวแขน : หมุนแขนสลับกันเหมือนพายเรือ แขนหนึ่งอยู่ในน้ำ อีกแขนเหวี่ยงออกจากน้ำ
  3. การเตะขา : เตะขาสั้น ๆ จากสะโพกเช่นเดียวกับท่าฟรีสไตล์
  4. การหายใจ : สามารถหายใจได้อย่างเป็นธรรมชาติ เพราะใบหน้าอยู่เหนือน้ำ

4. ท่าผีเสื้อ (Butterfly)

ท่าผีเสื้อ เป็นท่าว่ายน้ำที่มีความสวยงามและทรงพลังมากที่สุด แต่ก็ยากที่สุดในบรรดาทั้ง 4 ท่า ผู้ว่ายจะใช้แขนทั้งสองข้างโบกขึ้นพร้อมกัน และเตะขาในลักษณะ “ขาคู่ปลาโลมา” ข้อดีคือเสริมกล้ามเนื้อทั้งลำตัว แขน และไหล่ ช่วยพัฒนาความแข็งแรงและความอึด ทั้งยังช่วยเผาผลาญพลังงานได้มาก เหมาะกับการลดน้ำหนักเป็นอย่างยิ่ง

วิธีว่ายท่าผีเสื้อที่ถูกต้อง

  1. ร่างกาย : คว่ำหน้าในน้ำ ร่างกายเคลื่อนไหวเป็นคลื่นต่อเนื่อง
  2. การเคลื่อนไหวแขน : ยกแขนทั้งสองข้างขึ้นเหนือศีรษะพร้อมกัน ดึงน้ำกลับมาข้างลำตัว
  3. การเตะขา : เตะขาคู่พร้อมกันจากสะโพก โดยให้ปลายเท้าเหยียดตรง
  4. การหายใจ : หายใจเข้าเมื่อศีรษะโผล่ขึ้นจากน้ำระหว่างจังหวะยกแขน

เคล็ดลับการว่ายน้ำให้ถูกต้องและปลอดภัย

  1. อบอุ่นร่างกายก่อนลงน้ำทุกครั้ง เพื่อป้องกันตะคริว
  2. เลือกสระว่ายน้ำที่สะอาด และได้มาตรฐานเพื่อความปลอดภัยในการว่ายน้ำ
  3. ใช้แว่นตาว่ายน้ำและหมวกว่ายน้ำทุกครั้ง เพื่อปกป้องดวงตาและเส้นผมจากคลอรีนซึ่งเป็นเคมีภัณฑ์สระว่ายน้ำที่ก่อให้เกิดความระคายเคืองได้
  4. ฝึกการหายใจให้สัมพันธ์กับจังหวะการว่าย จะช่วยให้ว่ายได้นานขึ้นโดยไม่เหนื่อยง่าย
  5. ดื่มน้ำเพียงพอก่อนและหลังว่ายน้ำ เพราะร่างกายยังสูญเสียน้ำอยู่ดี แม้จะอยู่ในน้ำก็ตาม

การว่ายน้ำด้วยท่าว่ายน้ำที่ถูกต้อง นอกจากจะทำให้ร่างกายเคลื่อนไหวได้อย่างคล่องแคล่วขึ้นแล้ว ยังช่วยฝึกหายใจ ทำให้ว่ายน้ำได้นานขึ้นอีกด้วย อย่างไรก็ตาม ควรเลือกสระว่ายน้ำที่มีการดูแลอย่างสม่ำเสมอจากช่างสระว่ายน้ำ เช่น สระว่ายน้ำสาธารณะที่มีมาตรฐาน เพื่อความปลอดภัยในระหว่างการว่ายน้ำนั่นเอง