วิธีเตรียมตัวก่อนทำธาราบำบัดผู้สูงอายุ

ธาราบำบัดผู้สูงอายุ

เมื่ออายุมากขึ้น ร่างกายก็จะเสื่อมสภาพลงตามวัย หากดูแลตัวเองไม่ดี ก็อาจจะทำให้มีอาการเจ็บป่วยออด ๆ แอด ๆ ได้ โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ที่มักจะมีอาการเจ็บปวดตามร่างกายตามมา เช่น โรคข้อเข่าเสื่อม โรคกล้ามเนื้ออ่อนแรง เป็นต้น หลายคนอยากออกกำลังกายแต่กลัวลื่นล้ม หรือเจ็บข้อจนทำต่อเนื่องไม่ได้ การทำวารีบำบัด หรือธาราบำบัดผู้สูงอายุ จึงกลายเป็นทางเลือกในการดูแลสุขภาพของผู้สูงอายุ เพราะมีความปลอดภัย และให้ผลดีอย่างยิ่งในการฟื้นฟูสุขภาพผู้สูงอายุ

วารีบำบัด คืออะไร

วารีบำบัด คือ การออกกำลังกายในน้ำ ที่จะอาศัยคุณสมบัติของน้ำช่วยพยุงทุกส่วนของร่างกายให้ไม่มีอาการเจ็บจากแรงกระแทกขณะออกกำลัง เป็นโปรแกรมรักษาที่เหมาะสำหรับผู้สูงอายุ และผู้ที่มีอาการบาดเจ็บที่ร่างกาย 

ข้อดีของวารีบําบัด ประโยชน์สำหรับผู้สูงอายุ

1. ลดแรงกระแทกต่อข้อและกล้ามเนื้อ

น้ำมีคุณสมบัติพยุงตัว ทำให้เมื่อร่างกายอยู่ในน้ำ น้ำจะช่วยรับน้ำหนักได้มากกว่า 50–90% ของน้ำหนักตัวจริง ทำให้ผู้สูงอายุสามารถเคลื่อนไหวได้อย่างอิสระโดยไม่ต้องกลัวแรงกระแทกที่ข้อเข่า ข้อเท้า หรือสะโพก ถือเป็นข้อดีหลัก ๆ ของการทำธาราบำบัดผู้สูงอายุ

2. กระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ

อีกหนึ่งข้อดีของการทำวารีบำบัด คือ ช่วยกระตุ้นการไหลเวียนโลหิตและระบบหายใจ เพราะแรงดันของน้ำ จะช่วยกระตุ้นให้หัวใจและปอดทำงานมีประสิทธิภาพขึ้น เสมือนการนวดตามธรรมชาติ ช่วยให้เลือดไหลเวียนดีขึ้น ลดอาการบวมของขา และยังช่วยปรับความดันโลหิตให้อยู่ในเกณฑ์สมดุล

3. ฟื้นฟูความแข็งแรงของกล้ามเนื้อและการทรงตัว

เมื่ออยู่ในน้ำ ร่างกายต้องใช้กล้ามเนื้อหลายส่วนโดยไม่รู้ตัว ไม่ว่าจะเป็นกล้ามเนื้อขา กล้ามเนื้อแขน กล้ามเนื้อสะดวก การออกกําลังกายในน้ําผู้สูงอายุ หรือการทำธาราบำบัดผู้สูงอายุ จึงช่วยพัฒนา “กล้ามเนื้อแกนกลาง” (Core Muscle) ซึ่งเป็นกลุ่มกล้ามเนื้อที่สำคัญต่อการเดิน ยืน และนั่งได้เป็นอย่างดี

4. ผ่อนคลายความเครียด ลดภาวะซึมเศร้า

อุณหภูมิของน้ำที่อุ่นพอเหมาะในสระธาราบำบัด (ประมาณ 32–34°C) จะช่วยให้ร่างกายผ่อนคลาย และหลั่งสารเอ็นดอร์ฟิน (Endorphin) ออกมา ทำให้รู้สึกสบาย ผ่อนคลายความเครียด และยังช่วยให้นอนหลับได้ดีขึ้นอีกด้วย 

5. เหมาะสำหรับผู้ที่มีโรคประจำตัวบางชนิด

การทำธาราบำบัด นอกจากจะช่วยรักษาสุขภาพผู้สูงอายุได้แล้ว ยังช่วยฟื้นฟูร่างกายให้แก่ผู้ที่มีภาวะโรคข้อเสื่อม โรคพาร์กินสัน โรคหลอดเลือดสมอง อัมพฤกษ์ อัมพาต รวมถึงผู้ที่อยู่ระหว่างการกายภาพบำบัดหลังผ่าตัดได้อีกด้วย

วิธีเตรียมตัวก่อนทำธาราบำบัดผู้สูงอายุ

1. ปรึกษาแพทย์หรือผู้เชี่ยวชาญ 

แม้การทำธาราบำบัดผู้สูงอายุจะมีความปลอดภัยมากกว่าการออกกำลังกายประเภทอื่น แต่ผู้ป่วยบางโรคอาจจะต้องปรึกษาแพทย์ หรือให้แพทย์ประเมินความเหมาะสมก่อนทุกครั้ง เช่น ผู้ที่มีโรคหัวใจ ผู้ที่มีภาวะติดเชื้อที่ผิวหนัง หรือผู้ที่มีแผลเปิด

2. ตรวจสุขภาพพื้นฐาน 

ก่อนธาราบำบัดผู้สูงอายุควรตรวจวัดความดันโลหิต ชีพจร และระดับน้ำตาลในเลือด เพื่อให้ผู้ดูแลทราบภาวะสุขภาพก่อนเข้าบำบัด

3. เตรียมอุปกรณ์ธาราบำบัด

เตรียมอุปกรณ์ธาราบำบัดให้พร้อม เช่น ชุดว่ายน้ำที่กระชับ รองเท้าใส่ในสระ (Aqua shoes) ผ้าเช็ดตัว หมวกว่ายน้ำ และน้ำดื่ม เพื่อป้องกันการลื่นล้ม และดูแลสุขอนามัยให้ปลอดภัยสำหรับตัวผู้สูงอายุหรือผู้ป่วยเอง 

4. อาบน้ำก่อนลงสระ 

ก่อนธาราบำบัดผู้สูงอายุควรอาบน้ำล้างตัวก่อนเสมอ เพื่อป้องกันเชื้อโรคหรือสิ่งสกปรกเข้าสู่สระ และช่วยให้น้ำในสระสะอาดอยู่ตลอดนั่นเอง

5. เริ่มจากเบาไปหนัก 

หากเพิ่งเริ่มทำวารีบำบัด ควรเริ่มจาก “เบา” ไป “หนัก” โดยอาจจะใช้เวลาเพียง 15–20 นาที ต่อครั้ง แล้วค่อยเพิ่มระยะเวลาและความเข้มข้นขึ้นตามความแข็งแรงของร่างกาย เพื่อความปลอดภัย และป้องกันไม่ให้ร่างกายเจ็บหนักเกินไป

6. มีผู้ดูแลหรือผู้ฝึกสอนอยู่ใกล้เสมอ 

ผู้สูงอายุควรอยู่ภายใต้การดูแลของนักกายภาพบำบัดหรือนักธาราบำบัด โดยเฉพาะผู้สูงอายุที่มีปัญหาทรงตัวหรือเคยมีภาวะล้มมาก่อน 

สระธาราบำบัด สำหรับผู้สูงอายุ ควรเป็นแบบไหน?

1. อุณหภูมิน้ำเหมาะสม

สระธาราบำบัด ควรมีอุณหภูมิน้ำอยู่ที่ 32–34°C เพื่อช่วยผ่อนคลายกล้ามเนื้อ กระตุ้นการไหลเวียนเลือด และลดอาการเกร็ง หากน้ำในสระเย็นเกินไป อาจทำให้กล้ามเนื้อหดตัว แต่หากน้ำในสระว่ายน้ำร้อนเกินไป อาจทำให้ผู้สูงอายุเกิดภาวะความดันโลหิตต่ำ

2. ความลึกของสระ

ความลึกมาตรฐานของสระธาราบำบัด ควรอยู่ที่ 1.0–1.3 เมตร เพื่อให้ผู้เข้าบำบัดสามารถยืนและเดินได้สะดวกโดยมีแรงพยุงจากน้ำพอดี ซึ่งศูนย์ธาราบำบัดผู้สูงอายุบางศูนย์จะมี “สระตื้น” สำหรับบริหารขา และ “สระลึก” สำหรับลอยตัว

3. พื้นและผิวสัมผัส

สำหรับพื้นสระธาราบำบัดผู้สูงอายุ ควรให้ช่างสระว่ายน้ำทำเป็นพื้นกันลื่น (Anti-slip) ให้ เพื่อป้องกันการลื่นล้มขณะออกกำลังกายในน้ำ และต้องไม่มีขอบแหลม หรือขอบคม เพื่อลดความเสี่ยงของอาการบาดเจ็บหากเกิดอุบัติเหตุ

4. ระบบกรองและหมุนเวียนน้ำ

สระธาราบำบัดผู้สูงอายุ ควรมีระบบกรองคุณภาพสูง เช่น Sand Filter + UV Sterilizer เพื่อรักษาความสะอาดของน้ำ ป้องกันเชื้อรา แบคทีเรีย และกลิ่นคลอรีน นอกจากนี้ น้ำควรถูกหมุนเวียนต่อเนื่อง เพื่อให้ความร้อนกระจายสม่ำเสมอด้วย

5. ระบบควบคุมอุณหภูมิ

อาจใช้เครื่อง Heat Pump หรือ Heater with Thermostat เพื่อรักษาอุณหภูมิในสระธาราบำบัดผู้สูงอายุให้คงที่ ไม่ร้อนหรือไม่เย็นจนเกินไป ซึ่งอุปกรณ์ธาราบำบัดประเภทนี้ จะมีมาตรวัดอุณหภูมิน้ำและอุณหภูมิห้องแสดงผลให้ดูแบบเรียลไทม์ด้วย 

6. ราวจับและบันไดปลอดภัย

สระธาราบำบัดผู้สูงอายุที่ปลอดภัย จะต้องมีราวจับรอบสระ เพื่อให้ผู้สูงอายุใช้พยุงตัวระหว่างเดินหรือออกกำลังกายในน้ำ ทั้งยังต้องมีบันไดขึ้นลงแบบกันลื่นและมือจับคู่ข้าง เพื่อสร้างความสะดวกในการใช้งานให้กับผู้สูงอายุขณะเดินลงสระนั่นเอง

นอกจากนี้ ยังต้องมีการดูแลสระธาราบำบัดผู้สูงอายุอย่างสม่ำเสมอด้วย เพื่อให้เกิดความปลอดภัยขณะใช้งาน และช่วยรักษาความสะอาดของน้ำในสระเอาไว้ โดยอาจให้ช่างรับทำความสะอาดสระว่ายน้ำเข้ามาช่วยดูแลในส่วนนี้ได้

ผู้สูงอายุควรทำวารีบำบัดบ่อยแค่ไหน?

  • สำหรับผู้เริ่มต้นหรือฟื้นฟูสุขภาพทั่วไป : 2–3 ครั้งต่อสัปดาห์ ครั้งละ 30–45 นาที
  • สำหรับผู้ที่อยู่ในระยะกายภาพบำบัดหลังเจ็บป่วย : แพทย์หรือนักกายภาพบำบัดจะเป็นผู้กำหนด แต่โดยทั่วไปอยู่ที่ 3–5 ครั้งต่อสัปดาห์
  • สำหรับผู้ที่ต้องการคงสภาพร่างกาย : 1–2 ครั้งต่อสัปดาห์ เพื่อคงความยืดหยุ่นและสมดุลของกล้ามเนื้อ

สิ่งสำคัญสำหรับการธาราบำบัดผู้สูงอายุคือความต่อเนื่อง เพราะการทำวารีบำบัดอย่างสม่ำเสมอ จะช่วยให้ผู้สูงอายุมีสุขภาพดีขึ้นอย่างชัดเจน ทั้งในด้านความแข็งแรงของกล้ามเนื้อ การทรงตัว ความยืดหยุ่น และสุขภาพจิตที่ดีขึ้น