ระบบ UV สระว่ายน้ำ คืออะไร มีข้อดีอย่างไรบ้าง? 

UV สระว่ายน้ำ

การดูแลคุณภาพน้ำในสระว่ายน้ำเป็นสิ่งสำคัญ เพราะน้ำที่ไม่สะอาดอาจก่อให้เกิดปัญหาด้านสุขภาพ เช่น ระคายเคืองผิวหนัง ตาแดง หรือการติดเชื้อ ระบบบำบัดน้ำ จึงเป็นหัวใจสำคัญ ที่จะช่วยรักษาความสะอาดของน้ำให้พร้อมใช้งานอยู่เสมอ ซึ่งนอกจากการใช้คลอรีนแล้ว Pool Cleaning Service หลาย ๆ แห่ง ยังมีการใช้ “ระบบ UV สระว่ายน้ำ” เข้ามาช่วยในการขจัดสิ่งสกปรกภายในน้ำอีกด้วย 

ระบบ UV สระว่ายน้ำ คืออะไร?

Ultraviolet System หรือ ระบบ UV สระว่ายน้ำ คือ ระบบบำบัดน้ำที่ใช้แสงอัลตราไวโอเลตในการฆ่าเชื้อโรคและสิ่งมีชีวิตขนาดเล็กในน้ำ เช่น แบคทีเรีย ไวรัส และสาหร่าย โดยไม่ต้องใช้สารเคมีในปริมาณมาก 

การทำงานของระบบ UV สระว่ายน้ำ

การทำงานของระบบ UV สระว่ายน้ำ เริ่มจากการติดตั้งหลอด UV ภายในท่อหมุนเวียนน้ำ เมื่อน้ำในสระว่ายน้ำไหลผ่านหลอด UV ตัวหลอดก็จะปล่อยรังสีออกมากำจัดเชื้อโรคในน้ำ โดยจะไม่ทิ้งสารตกค้างไว้ ทำให้น้ำใสสะอาดและปลอดภัยต่อผู้ใช้งานมากยิ่งขึ้น

จุดเด่นของระบบ UV สระว่ายน้ำ

1. ลดการใช้สารเคมี

สระว่ายน้ำที่ใช้ระบบ UV จำเป็นต้องใช้คลอรีนเพื่อควบคุมคุณภาพน้ำ แต่ใช้ในปริมาณน้อยลง เมื่อเทียบกับระบบเดิม ช่วยลดสารเคมีที่อาจก่อให้เกิดการแพ้ หรือระคายเคืองผิวได้

2. น้ำใสสะอาด 

หนึ่งในปัญหาที่ผู้ใช้สระว่ายน้ำมักพบ คือ กลิ่นคลอรีนแรงเกินไป ซึ่งการใช้ระบบ UV สระว่ายน้ำ ที่มีการใช้คลอรีนในปริมาณน้อย จะช่วยลดเรื่องกลิ่นคลอรีนในน้ำได้ ทั้งยังทำให้น้ำใส ไม่ระคายเคืองผิว

3. กำจัดเชื้อโรคได้ดี

รังสีอัลตราไวโอเลต (UV-C) ที่ใช้ในระบบ UV สระว่ายน้ำ มีคุณสมบัติในการทำลาย DNA และ RNA ของจุลชีพ ส่งผลให้เชื้อโรคไม่สามารถเจริญเติบโตหรือแพร่พันธุ์ต่อไปได้ ทั้งยังกำจัดปรสิตบางชนิดได้อีกด้วย เช่น Cryptosporidium หรือ Giardia 

4. ปลอดภัยต่อสุขภาพ

การใช้ระบบ UV สระว่ายน้ำ เป็นผลดีกับผู้ที่มีอาการแพ้คลอรีน ผิวแพ้ง่าย โดยเฉพาะสำหรับเด็กเล็ก ผู้สูงอายุ และผู้ที่มีผิวบอบบาง เพราะลดการใช้สารเคมีในสระว่ายน้ำลงนั่นเอง

ข้อควรรู้ของระบบ UV สระว่ายน้ำ

1. ฆ่าเชื้อในน้ำโดยตรงไม่ได้

ระบบน้ำ UV สระว่ายน้ำ จะทำงานเมื่อน้ำไหลผ่านห้อง UV (UV Chamber) เท่านั้น หลังน้ำไหลเข้าสู่สระว่ายน้ำ หากมีเชื้อโรคเกิดขึ้นใหม่ แสง UV จะไม่สามารถกำจัดได้ทันที จึงต้องใช้คลอรีนเพื่อฆ่าเชื้อโรคที่เกิดขึ้นใหม่ในสระว่ายน้ำ

2. กำจัดสิ่งที่ละลายน้ำได้ไม่ได้

แม้ระบบ UV สระว่ายน้ำ จะทำหน้าที่ฆ่าเชื้อโรค แต่ก็ไม่สามารถกำจัดสิ่งสกปรกที่ละลายน้ำได้ เช่น เหงื่อ เครื่องสำอาง เป็นต้น จึงจำเป็นต้องใช้เคมีภัณฑ์สระว่ายน้ำร่วมด้วย เพื่อรักษาคุณภาพน้ำให้คงที่

3. เปลี่ยนหลอด UV ตามกำหนด

หลอด UV มีอายุการใช้งานเฉลี่ยประมาณ 9,000–12,000 ชั่วโมง หรือราว ๆ 1–2 ปี หากไม่เปลี่ยนตามรอบที่เหมาะสม จะส่งผลให้ประสิทธิภาพการฆ่าเชื้อของระบบ UV สระว่ายน้ำลดลงตามไปด้วย 

4. ต้องใช้ไฟฟ้าตลอดเวลา

ระบบ UV สระว่ายน้ำ ต้องใช้ควบคู่ไปกับระบบกรองน้ำ โดยต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานตลอดเวลา เพื่อให้สามารถฆ่าเชื้อได้ต่อเนื่อง ส่งผลให้มีค่าไฟฟ้าเพิ่มมากขึ้นนั่นเอง โดยค่าใช้จ่าย จะขึ้นอยู่กับขนาดของสระว่ายน้ำ 

5. มีค่าใช้จ่ายสูง

ระบบน้ำ UV สระว่ายน้ำ มีต้นทุนสูงกว่าการใช้คลอรีน เพราะต้องซื้ออุปกรณ์ UV Chamber และระบบกรอง ทั้งยังมีค่าไฟที่ต้องจ่ายมากขึ้น เพราะระบบนี้ ต้องใช้ไฟฟ้าในการทำงานตลอดเวลานั่นเอง

6. ควบคุมค่าเคมีในน้ำไม่ได้

ระบบ UV สระว่ายน้ำ ไม่สามารถควบคุม pH หรือปรับสมดุลทางเคมีของน้ำในสระว่ายน้ำได้ ทำหน้าที่เพียงฆ่าเชื้อโรค และกำจัดสิ่งสกปรกในน้ำเท่านั้น

การดูแลรักษาระบบ UV สระว่ายน้ำ

1. ตรวจสอบการทำงานของหลอด UV เป็นประจำ

หากหลอด UV สระว่ายน้ำเสื่อมสภาพ แสงที่ปล่อยออกมาจะไม่เข้มพอในการฆ่าเชื้อ จึงควรตรวจสอบการทำงานอย่างสม่ำเสมอ เช่น สังเกตสัญญาณไฟเตือน หรือใช้เครื่องวัดความเข้มแสง UV (ในบางระบบ) เพื่อให้มั่นใจว่ายังคงทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ

2. เปลี่ยนหลอด UV ตามรอบเวลา

หลอด UV สระว่ายน้ำ มีอายุการใช้งานประมาณ 1–2 ปี หรือราว 9,000–12,000 ชั่วโมง ขึ้นอยู่กับการใช้งาน หากไม่เปลี่ยนตามรอบที่กำหนด จะส่งผลให้ประสิทธิภาพในการฆ่าเชื้อลดลงทันที

3. ดูแลระบบท่อและปั๊มน้ำ

ระบบน้ำ UV สระว่ายน้ำ จะทำงานได้เมื่อน้ำหมุนเวียนผ่านห้อง UV อย่างทั่วถึง หากมีการอุดตัน ท่อหรือปั๊มน้ำจะทำงานได้ไม่เต็มกำลัง จึงควรทำความสะอาดและตรวจสอบระบบท่อ-ปั๊มน้ำอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้ระบบหมุนเวียนทำงานได้ราบรื่น

ระบบ UV สระว่ายน้ำ ช่วยลดการใช้สารเคมีในสระว่ายน้ำได้ ทำให้น้ำในสระใสสะอาด และปลอดภัยต่อผู้ใช้งาน แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าการใช้คลอรีนแบบเดิม แต่ถือเป็นการลงทุนที่คุ้มค่าในระยะยาว อย่างไรก็ตาม อย่าลืมว่าระบบน้ำ UV ไม่สามารถกำจัดเชื้อโรคโดยตรงได้ (หากไม่ได้ทำให้น้ำไหลผ่านหลอด UV) จึงต้องมีการดูแลสระว่ายน้ำอย่างสม่ำเสมอ โดยอาจจะทำความสะอาดด้วยตัวเอง หรือใช้บริการดูแลสระว่ายน้ำก็ได้เช่นเดียวกัน เช่น PoolSPT ผู้ให้บริการทำความสะอาดสระว่ายน้ำ เชียงใหม่ เป็นต้น